ความเป็นมา
มูลนิธิช่วยชีวิตสัตว์ป่าแห่งประเทศไทยมีนโยบายขยายผลการปล่อยชะนีสู่ป่าไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมที่จังหวัดภูเก็ตซึ่งไม่มีที่ใดในโลกทำได้มาก่อน เนื่องจากการปล่อยชะนีซึ่งเป็นสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ (Endanger species) เป็นงานไม่ง่าย ต้องใช้ความอุสาหะ ระยะเวลา ความชำนาญ และงบประมาณมหาศาล
ดังนั้นจึงได้สำรวจป่าธรรมชาติหลายแห่งทั่วประเทศ เพื่อศึกษาถึงความเป็นไปได้ ตลอดจนความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ต่อการดำรงชีวิตชองชะนี ในที่สุดจึงเลือกป่าชุมชนปางจำปี ด้วยลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อน จากระดับน้ำทะเล 800-1,200 เมตร ปกคลุมด้วยป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest) สลับกับป่าดิบชื้น (Evergreen Forest) ผสมดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) ตามหุบห้วยมีน้ำไหลตลอดปี ส่วนบริเวณยอดเขาสูงปกคลุมด้วยป่าดิบเขา (Hill Evergreen Forest) ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของลำน้ำแม่ลายน้อย ที่หล่อเลี้ยงชุมชนปลายน้ำทั้งหลายในอำเภอแม่ออนและดอยสะเก็ด ก่อนไหลลงสู่เขื่อนแม่กวงอุดุมธารา
ธรรมชาติของชะนีจะพึ่งพาป่าดิบชื้นเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อนที่ต้องอาศัยร่มเงา ตลอดจนแหล่งน้ำและอาหาร เพราะมีพรรณไม้ขึ้นหนาแน่น เขียวชอุ่มรกทึบตลอดปี จึงสามารถรองรับและเก็บกักน้ำฝนได้ดี เนื่องจากผืนดินและระบบรากดูดซับน้ำไว้ได้มากและยาวนานขึ้น จึงถือเป็นป่าต้นน้ำลำธารที่สำคัญ ป่าชุมชนปางจำปีเมื่อครั้งอดีตอุดมด้วยป่าดิบชื้น แต่ต้องเปลี่ยนสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรมจากการทำไม้โดยการสัมปทานจากบริษัทเอกชนในปี พ.ศ. 2505 การแผ้วถางจับจองที่ทำกินและทำไร่เลื่อนลอยของชุมชน รวมถึงการตัดไม้ใช้สอย สร้างบ้านเรือน และขายให้นายทุนเพื่อสร้างรายได้ ในที่สุดชาวปางจำปีต้องประสบวิกฤติภัยแล้งต่อเนื่อง ลำน้ำแม่ลายน้อยเหือดแห้ง ขาดน้ำสะอาดอุปโภคบริโภค จึงเริ่มหันมาอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าอย่างจริงจังตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ตามแนวพระราชดำริ ทำให้ป่าเริ่มฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ การทำลายทรัพยากรป่าไม้และการล่าสัตว์ป่าที่ผ่านมาเป็นเหตุให้ชะนีสูญพันธุ์ไปจากป่านี้เมื่อราว 50 ปีก่อน พร้อมกับสัตว์อีกหลายชนิด เช่น เสือ นกเงือก หมีควาย ฯลฯ
ป่าชุมชนปางจำปีมีพื้นที่ 12,091 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า 5,091 ไร่ และพื้นที่ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน 7,000 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ออนซึ่งรวมเป็นป่าผืนใหญ่กว่า 40,000 ไร่ มีผลไม้ป่าหลากหลายชนิด จึงคาดว่าจะสามารถรองรับชะนีที่จะนำมาปล่อยได้พอสมควร
กระบวนการฟื้นฟูและปล่อยชะนี
การฟื้นฟูก่อนปล่อย
ชะนีที่นำมาปล่อยได้มาจากการช่วยเหลือโดยมูลนิธิฯ ร่วมกับภาครัฐ ให้พ้นจากการถูกทารุณกรรม การล่าและลักลอบค้าสัตว์ป่า รวมถึงการใช้เร่ถ่ายรูปเก็บเงินตามแหล่งนักท่องเที่ยวต่างๆ จากนั้นจึงนำมาตรวจสุขภาพและตรวจหาโรคติดต่อร้ายแรง ชะนีที่ร่างกายสมบูรณ์และปลอดโรคเท่านั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูในโครงการคืนชะนีสู่ป่า จ. ภูเก็ต โดยให้อยู่ในกรงขนาดใหญ่ แวดล้อมด้วยป่าดิบชื้น และเสริมสร้างพฤติกรรมทางสังคมด้วยการรวมกลุ่มวัยเด็กและจับคู่สร้างครอบครัวเมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว
ชะนีที่อยู่กันเป็นคู่หรือครอบครัว จะย้ายมาพักฟื้นและปรับสภาพร่างกายต่อภูมิอากาศภาคเหนือเสียก่อน โดยให้อยู่ในกรงเลี้ยงอย่างน้อย 2-3 เดือน จากนั้นจึงนำเข้าไปปรับตัวในกรงชั่วคราวกลางป่าเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ แล้วจึงปล่อยสู่ป่า
การติดตามหลังปล่อย
ในเดือนแรกหลังปล่อยต้องติดตามตั้งแต่เช้ามืดจนพลบค่ำทุกวัน โดยให้อาหารตัวละ 1 กิโลกรัมและน้ำดื่มทุกวัน หากชะนีสูญหายในช่วงนี้จะมีโอกาสรอดยากเพราะยังหาอาหารและน้ำดื่มในป่าไม่เป็น การเฝ้าติดตามจะผ่อนคลายลงเมื่อพ้นเดือนแรกไปแล้ว เหลือเพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์ เพราะชะนีเริ่มหัดหากินเองและสามารถจำทิศทางกลับมากินน้ำและอาหารที่กรงได้ อาหารที่ให้ในแต่ละวันจะลดปริมาณลงแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยพิจารณาจากพื้นที่หากินที่ขยายออกไป ตามพัฒนาการกินอาหารป่าที่มากขึ้นทั้งชนิดและปริมาณ จนกว่าจะมั่นใจว่าชะนีสามารถดำรงชีพเองได้จึงจะหยุดให้อาหารซึ่งใช้เวลาไม่เกินปีครึ่ง ส่วนน้ำดื่มนั้นจะงดได้ไวกว่าคือประมาณครึ่งปี แต่ต้องมีแหล่งน้ำธรรมชาติในบริเวณนั้น
การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
ก่อนปล่อยชะนีต้องประชาสัมพันธ์ให้ผู้เกี่ยวข้องกับป่าได้ทราบโดยทั่วถึง เพื่อทำความเข้าใจ สร้างแนวร่วม เห็นชอบ และให้การสนับสนุน ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กรท้องถิ่น ภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากมีหลายชุมชนหมู่บ้านตั้งอยู่รายรอบป่า คนท้องถิ่นจึงหาของป่าเพื่อยังชีพเป็นวิถีชีวิตปกติ ทั้งนี้เพื่อให้ทุกคนเข้าใจขั้นตอนปฏิบัติเมื่อพบเห็นชะนีในป่า จะได้ไม่ตื่นตระหนกหรือมุ่งร้าย รวมทั้งเป็นหูเป็นตาช่วยสอดส่องดูแล และแจ้งข่าวเมื่อพบชะนีบาดเจ็บหรือหลงออกนอกพื้นที่
นอกจากนี้ในระยะยาวจำเป็นต้องเสริมสร้างความร่วมมือในการอนุรักษ์สัตว์ป่า การจัดการป่าชุมชน การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ รวมทั้งปลูกจิตสำนึกและตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแก่ชุมชนท้องถิ่น รวมทั้งเด็กและเยาวชนในพื้นที่ เพราะชะนีที่ปล่อยไปไม่อาจดำรงเผ่าพันธุ์ในป่าสืบไปได้ หากท้องถิ่นที่มีวิถีชีวิตแนบแน่นกับป่ามาช้านานไม่ร่วมปกป้องดูแล
ชีวิตชะนีในป่ากับวิถีชุมชน
ป่าชุมชนปางจำปีอยู่ถัดเข้าไปจากพื้นที่ทำกิน คนในชุมชนเข้าป่าเพื่อหาอาหารนำมาบริโภคและนำมาขายสร้างรายได้มาเป็นเวลาช้านาน เช่น เห็ด, หยวกกล้วย, ใบตองกล้วย, ปลีกล้วย, ลูกก่อหรือเกาลัด, มะเดื่อหลวง, มะไฟ, มะแฟน, หน่อไม้, ไม้ไผ่, แมลงนูน, กว่าง, น้ำผึ้ง, ต่อแตน, หนอนไม้ไผ่หรือรถด่วน, ไข่มดแดง ฯลฯ การประกอบอาชีพจึงมีความสัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ ในการหาของป่าต่างๆ ทางชุมชนได้ออกกฎ กติกากำกับการใช้ประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้นอย่างพอดี พอกิน พอขายเลี้ยงตัว ช่วงเวลาหนึ่งก็ต้องหยุดหา เพื่อให้ธรรมชาติได้มีการฟื้นตัว ให้ชาวบ้านได้เก็บหาในฤดูกาลถัดไป เช่น การเก็บหน่อไม้ขาย ตามกฎระเบียบกำหนดช่วงฤดูตัดหน่อตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายนเท่านั้น แต่หากจะนำมาบริโภคในครัวเรือนก็สามารถทำได้ตลอดเพราะถือเป็นการนำมาใช้เพียงเล็กน้อยแต่พอกิน จึงนับเป็นการใช้ภูมิปัญญาของคนบางจำปีในการประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ที่มีความสัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ
การดำรงชีวิตของชะนีในป่านั้นต้องออกหาอาหารกินตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งบ่ายจวนค่ำ อาหารชะนีบางอย่างเป็นของป่าที่คนในชุมชนเข้าไปเก็บนั่นเอง จึงเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจากป่าร่วมกัน แบ่งปันให้กันและกัน เช่น แมลงนูน, กว่าง, ลูกก่อหรือเกาลัด, มะเดื่อหลวง, มะไฟ, มะแฟน ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีกล้วยป่าซึ่งชะนีจะกินใบและผลที่สุกงอมเท่านั้น แต่คนไม่นิยมกินเพราะผลกล้วยป่ามีเนื้อน้อยเต็มไปด้วยเมล็ดเปลือกแข็ง ส่วนใบตองคนนิยมใช้มาพันยาสูบ ห่ออาหาร กาละแมและห่อขนมหวานต่างๆ เพราะใบตองมีเนื้อละเอียดและเป็นแผ่นใหญ่กว่าใบกล้วยที่ปลูกทั่วไปตามสวน เวลาห่ออาหารแล้วใบไม่ค่อยปริแตก นอกจากนี้หยวกกล้วยป่าและหัวปลียังเป็นที่นิยมในการประกอบอาหารทางภาคเหนือหลายอย่าง เพราะมีรสชาติดีกว่ากล้วยที่ปลูกกันทั่วไป ปลีกล้วยเมื่อปรุงสุกจะมีสีเหลืองอ่อนน่ากินอีกด้วย จึงนำไปขายสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ การเก็บผลิตผลจากกล้ายป่าสามารถทำได้ตลอดทั้งปี เพราะพอตัดลำต้นเอาหยวกและใบไปใช้ประโยชน์ ก็สามารถงอกใหม่จากต้นเดิมได้ จึงเป็นแหล่งอาหารของชะนีตลอดปีเช่นกัน
ในการเข้าไปเก็บของป่าคนในชุมชนส่วนใหญ่จะพาสุนัขเข้าไปด้วยซึ่งเป็นวิถีชีวิตปกติมาช้านาน แม้บางครั้งสุนัขเหล่านั้นจะเห่ากรรโชกหรือไล่กวดชะนีบ้าง แต่ก็ยังไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น อีกทั้งเจ้าของสุนัขก็คอยดูแลห้ามปรามสัตว์เลี้ยงของตน ชะนีเองก็ระแวดระวังภัยตามธรรมชาติอยู่แล้วโดยมักจะไม่ลงมายังพื้นดิน หรือหากต้องลงต่ำเพื่อหาอาหารหรือลงกินน้ำในลำห้วย จะสอดส่องหาศัตรูจนแน่ใจเสียก่อน ในบางครั้งถ้าหากลงมาอยู่พื้นดินนานๆ ก็จะมีสมาชิกตัวใดตัวหนึ่งนั่งยามบนที่สูงคอยสอดส่องศัตรู
คนในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น สวนกาแฟ กล้วย ผักสวนครัว เงาะ ลิ้นจี่ ลำไย ฯลฯ ชะนีที่ปล่อยไปโดยเฉพาะตัวที่แตกกลุ่มออกมาอยู่ตามลำพัง มักจะออกหากินมาถึงชายป่า รุกล้ำไปยังสวนเกษตรกรเป็นประจำ และถือวิสาสะเข้าไปเก็บผลไม้สุกในสวนกินบ้าง เช่น กาแฟ กล้วย เป็นต้น แต่ก็กินเพียงเล็กน้อยแต่พออิ่มไม่ถึงขั้นทำลายล้างจนผลผลิตเสียหาย คนในชุมชนเองก็มีจิตเมตตาเอ็นดูชะนีเหล่านั้น ช่วยดูแลเป็นหูเป็นตา ไม่ได้ตำหนิหรือกล่าวโทษแต่อย่างใด
คุณค่าของชะนีต่อป่าไม้
สรรพสิ่งในผืนป่าล้วนดำรงอยู่ร่วมกัน อาศัยพึ่งพา เกื้อกูลกันและกัน ทุกชีวิตจึงมีส่วนผดุงระบบนิเวศป่าไม้ด้วยบทบาทและหน้าที่ของตนตามวัฏฏะแห่งธรรมชาติ หากขาดส่วนหนึ่งส่วนใดไปย่อมสะเทือนต่อความสมดุลและความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า เช่นเดียวกับชีวิตชะนีที่ต้องพึ่งพาแมกไม้เพื่ออยู่อาศัยและเป็นแหล่งน้ำแหล่งอาหาร หากแต่ไม่ได้อยู่อย่างเอาเปรียบ เมื่อกินผลไม้ชะนีจะกลืนเมล็ดลงไปด้วย แล้วขับถ่ายออกมาพร้อมมูลตามเส้นทางที่ชะนีหากินไป จึงเอื้อโอกาสให้เมล็ดพันธุ์ได้กระจายออกไปงอกงามไกลจากต้นแม่ ชะนีจึงมีส่วนสำคัญในการขยายพันธุ์พืชซึ่งเป็นการปลูกป่าตามวิถีธรรมชาติ
สรรพสัตว์ล้วนทำให้พงไพรไม่ไร้สีสัน เพียงสกุณาเจื้อยแจ้วป่าร้างก็ฟื้นคืนชีวิต ชะนีเป็นเจ้าแห่งตำนานเสียงร้องก้องไพรไกลกว่า 3 กิโลเมตร หากกู่ก้องที่ใด ที่นั่นคือป่าแห่งชีวิตอันอุดมด้วยแมกไม้และสายธาร ขณะที่ชุมชนปางจำปีรู้รักษ์ผืนป่า หยุดเผา เลิกบุกรุกแผ้วถาง ไม่ตัดไม้ทำลายป่า ร่วมทำแนวป้องกันไฟและฝายชะลอน้ำนำความชุ่มชื้นเพื่อฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ฉันใดฉันนั้นชะนีก็แทนคุณผืนป่าด้วยหน้าที่ปลูกต้นไม้กระจายเมล็ดพันธุ์ ขมีขมันทุกวี่วัน ไม่เกี่ยงงอนแม้ฤดูกาลใด